วิธีกำจัดเชื้อราและตะไคร่น้ำบนกำแพงบ้าน ขาวสะอาดเว่อร์ลืมไปเลยว่าเคยสกปรก
วิธีกำจัดเชื้อราและตะไคร่น้ำบนผนัง พร้อมทาสีกำแพงบ้านใหม่ด้วยตัวเอง บอกเลยเขรอะแค่ไหนก็เอาอยู่ ใครอยากขจัดคราบสกปรกและคืนความสะอาดให้กับบ้าน ห้ามพลาดเด็ดขาด !
เพราะกำแพงบ้านต้องโดนทั้งฝุ่น ทั้งควัน ทั้งแดด ทั้งฝน ก็เลยทำให้เกิดคราบสกปรกสะสมได้ง่าย เหมือนอย่างเช่นกำแพงบ้านของ คุณ HappyAries สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีปัญหาทั้งเชื้อราและตะไคร่น้ำ งานนี้เธอเลยตัดสินใจทำความสะอาดพร้อมทาสีใหม่โดยด่วน ทว่าทุกอย่างไม่ง่ายอย่างนั้น ฉะนั้นเธอเลยนำประสบการณ์และข้อมูลที่มีมาแบ่งปันอย่างละเอียด รับรองคนไม่เคยทำความสะอาดกำแพงเองก็ทำตามได้ ว่าแต่เรื่องราวและขั้นตอนจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันได้เลยค่ะ
[CR] รีวิว : วิธีกำจัดเชื้อราและทาสีกำแพงบ้านด้วยตัวเอง โดย คุณ HappyAries
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวการทำความสะอาดกำแพงบ้านและทาสีกำแพงบ้านด้วยตัวเอง แต่ก่อนอื่นเราอยากจะบอกก่อนว่า มันไม่ใช่ทาสีเฉย ๆ แล้วจบ เพราะกำแพงบ้านของเรามีปัญหาตะไคร่น้ำและเชื้อรา อันที่จริงเราเองก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ามันจะมีหลายขั้นตอนแบบนี้ เพราะตอนแรกกะว่าจะเอาน้ำฉีดล้างกำแพงแล้วก็ทาสีทับไปเลย แต่พอได้ไปคุยกับพนักงานที่แผนกสี เขาแนะนำเรื่องการกำจัดเชื้อราและป้องกันเชื้อราด้วย เนื่องจากกำแพงของเราไม่ได้มีการฉาบหน้าด้วยปูน และฝั่งกำแพงบ้านที่อยู่ติดกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีการป้องกันอะไรด้วย ความชื้นเลยจะมากกว่าปกติ เขาเลยแนะนำแบบนี้ค่ะ (เราถ่ายรูปกำแพงบ้านเราไปให้เขาดูด้วย)
ตอนนั้นเราถึงได้รู้ว่ารายละเอียดมันเยอะกว่าที่คิด เราเลยคิดว่าน่าจะเอามารีวิวให้ชมกัน เผื่อมีคนที่ไม่เคยรู้มาก่อนแบบเราค่ะ โดยเราขอเล่ากระบวนการคร่าว ๆ ให้ฟังก่อนนะคะ
1. ทำความสะอาดกำแพงให้สะอาด ถ้ามีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงจะดีมาก แต่ถ้าไม่มีก็ต้องขัดเอาคราบสกปรกออกค่ะ
2. ทาน้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำ ถ้าที่บ้านใครไม่มีปัญหานี้ก็ข้ามไปค่ะ
3. ทาสีรองพื้น
4. ทาสีจริง 2 รอบ
5. มาเริ่มดูรูปกันเลยค่ะ อันนี้เป็นรูปเดียวกันกับที่เราให้พนักงานดู
– ส่วนหน้าบ้าน
– ส่วนข้างบ้าน
– ส่วนหลังบ้าน
จะเห็นได้ว่าส่วนของหลังบ้านและข้างบ้านมีปัญหาเรื่องของความชื้นและเชื้อราหลายจุดเลยล่ะค่ะ
– เอาล่ะ มาดูขั้นตอนแรกกันค่ะ ซึ่งนั้นก็คือการทำความสะอาด ของเราโชคดีที่น้องแถวบ้านมีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง เราก็เลยขอยืมเขามาใช้ค่ะ ช่วยทุ่นแรงไปมาก ๆ
– คราบจะหลุดออกมาแบบนี้เลย อันนี้ทำให้ดูว่าเครื่องฉีดน้ำนี่มันดีจริง ๆ ใช้แล้วฟินมากเลยค่ะ ^_^
– หลังจากล้างกำแพงเสร็จแล้วก็จะได้ประมาณนี้ค่ะ
หมายเหตุ : หลังจากฉีดน้ำทำความสะอาดกำแพงแล้ว เราต้องทิ้งกำแพงให้แห้งอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถึงจะทำขั้นตอนต่อไปได้ค่ะ แต่ของเราโชคร้ายมาก ฝนตกต่อเนื่องรัว ๆ ไป 3 วัน เลยต้องรอนานหน่อยค่ะ T_T
– หลังจากที่แน่ใจว่ากำแพงแห้งดีแล้ว เราจะมาลงน้ำยาฆ่าเชื้อรากันค่ะ โดยเราใช้ตัวนี้ของ TOA พนักงานบอกว่าใช้สำหรับฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำ แถมยังป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นใหม่อีกด้วย วิธีการให้เอาไปทาตรงจุดที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่ต้องทาทั้งผนังค่ะ
– วิธีใช้คือเอาไปทาได้เลย ไม่ต้องผสมอะไรอีก จะใช้แปรงหรือลูกกลิ้งก็ได้แล้วแต่ถนัด ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบใช้ลูกกลิ้ง ก็เลยใช้แปรง แต่บังเอิญว่าแปรงที่มีมันเล็กไปหน่อย ถ้าใครจะใช้แปรงให้ใช้อันที่ใหญ่กว่านี้นะคะ อันนี้เล็กมาก ใช้เวลาทานานมาก
หมายเหตุ : ตัวนี้มีกลิ่นนะคะ แต่ไม่มาก เขาเขียนข้างขวดไว้แหละว่า สูตรน้ำ กลิ่นอ่อน ตอนแรกก็กล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนกัน เพราะเราเป็นไมเกรน คุณหมอบอกว่าตัวกระตุ้นให้เกิดอาการคือกลิ่นสารเคมี แต่หลังจากทาก็ปกติดีค่ะ (ที่กล้า ๆ กลัว ๆ ก็เพราะว่าเคยใช้ไฮเตอร์ทำความสะอาดห้องน้ำแล้วปวดหัวหนักมาก นานหลายชั่วโมงจนไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นไมเกรนค่ะ สาเหตุมาจากกลิ่นสารเคมี)
– เวลาทาก็ทาแบบชุ่ม ๆ ไปเลยค่ะ ไม่ต้องเสียดาย ยิ่งกำแพงของเราเป็นอิฐบล็อก มีรูพรุนเยอะ เรายิ่งต้องทาเยอะ ๆ ให้ซึมเข้าไปในรูด้วยค่ะ โดยหลังจากทาเสร็จแล้ว ให้ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ก่อนจะทาสีรองพื้น และแน่นอนว่าของเราฝนตกไปอีก 2-3 วัน ก็ยิ่งรอนานเข้าไปอีกค่ะ
– ขั้นนตอนต่อไปคือทาสีรองพื้นค่ะ เราเลือกมาเป็นตัวในรูปนี้ค่ะ พอดีว่าสีตัวนี้เขาบอกว่าเหมาะสำหรับผิวที่มีความชื้น ทาหลังฝนตกได้เลย เราก็เลยไม่ได้รอให้กำแพงแห้งสนิทมาก จับดูว่าพอแห้งก็รีบทาเลย เพราะไม่รู้ว่าฝนจะตกมาอีกมั้ย ตัวนี้ต้องผสมกับทินเนอร์ก่อนนะคะ สัดส่วนในการผสมก็ดูได้ที่ข้างถังเลย แต่เราผสมตามที่เราคิดว่าโอเคค่ะ ปล. ตัวรองพื้นนี่เราไม่กล้าทาเอง ให้สามีกับน้อง ๆ ช่วยกันทาค่ะ กลัวไมเกรนขึ้นเพราะกลิ่นทินเนอร์
– เริ่มทาสีรองพื้นค่ะ
– ทาเสร็จแล้วจะเป็นประมาณนี้ สังเกตว่า 2 แถวบนของเรามันจะไม่ค่อยขาวเท่าไร เพราะว่ารูพรุนมันเยอะมาก แถมตอนทาเสร็จไม่ถึงชั่วโมง ฝนก็ตกลงมาอีก แล้วสีเราก็หมดแล้วด้วย ก็ต้องหยวน ๆ ไป ฮืออออ T_T
– หลังจากทารองพื้นเสร็จแล้วสัก 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถทาสีจริงทับได้เลยค่ะ แต่ของเราอย่างที่บอกไปคือฝนตกหลังทาเสร็จ เราเลยมาทาสีจริงในวันรุ่งขึ้น ซึ่งสีจริงที่เราเอามาทาทับหน้าจะเป็นตัวนี้ค่ะ อันนี้น้องที่มาช่วยทาเขาบอกว่าขี้เกียจผสมบ่อย ๆ เลยขอผสมในถังเลยก็แล้วกัน โดยสีตัวนี้ต้องผสมน้ำก่อนใช้ค่ะ สัดส่วนก็สามารถดูได้ข้างถัง แต่ของเราเช่นเคย คือ ผสมตามใจคนทาค่ะ
– เราซื้อมาทั้งหมด 4 กระป๋องค่ะ
พอดีว่าเราลืมถ่ายช่วงที่ทาสีจริง ๆ ไว้อ่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีมือเลอะ+รีบช่วยกันทา กลัวไม่ทันแล้วฝนตกลงมาอีก ก็เลยไม่ได้ถ่ายเอาไว้ค่ะ มาดูผลงานตอนเสร็จกันเลยก็แล้วกันนะคะ
– ในส่วนของหลังบ้านคือรูพรุนเยอะมาก แถมรูใหญ่ด้วย เลยทาออกมาได้เท่าที่เห็นค่ะ แต่สำหรับเราก็คือพอใจมากแล้ว เพราะแพลนเอาไว้ว่าจะเอาต้นไม้มาลงตามแนวกำแพง
– ตรงนี้ก็เช่นกัน จะเอาต้นไม้มาลง และประเด็นคือสีหมดด้วยค่ะ แล้วก็งก ไม่อยากซื้อเพิ่มแล้ว อิอิ
เอาล่ะ มาดูภาพ Before/After กันค่ะ
ก็ประมาณนี้ค่ะ เราสรุปให้นะคะว่าเราใช้สินค้าตัวไหนไปบ้าง
1. TOA113 MICROKILL – สำหรับฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำอย่างลึกลงถึงราก
2. TOA Extra WET Primer – สีรองพื้น
3. TOA ทินเนอร์ – สำหรับผสมสีรองพื้น
4. TOA Shield – 1 Nano – สีจริง อันนี้เขาบอกว่าป้องกันคราบด้วย ใช้ได้ทั้งภายในภายนอกค่ะ
ครั้งนี้เราเลือกเป็น TOA ทั้งหมด ถึงแม้จะราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่น แต่เรายอมค่ะ เพราะอะไรรู้มั้ยคะ เราเคยซื้อสีแบบราคาไม่แพงมากมาทาที่สตูดิโอเรา ปรากฎว่าสีไม่ขึ้นเลยค่ะ ตอนนั้นช่างเป็นคนทาให้ เราก็ว่าทำไมสองทุ่มแล้วยังไม่เสร็จงานซะที เราเลยโทร. ไปหาเขา เขาบอกว่า “สีมันทาไม่ขึ้นเลยครับ ผมทามา 3 รอบแล้ว กำลังจะทารอบที่ 4”
เพราะฉะนั้นคราวนี้เราทาเอง เราต้องการประหยัดเวลา และช่างก็แนะนำว่าให้ใช้ TOA เราก็เลยจัดตามนั้นค่ะ แล้วก็เป็นจริงค่ะ ทาแล้วขึ้นจริง ๆ ตั้งแต่รอบแรกเลย ก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะค่ะ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ เหตุการณ์จริง ๆ เลยค่ะ
กระทู้นี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ ถ้าเกิดว่ามีขั้นตอนไหนผิดพลาดยังไง สามารถแนะนำได้เลยนะคะ เราเองไม่ใช่ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญอะไร หากมีอะไรผิดพลาด ต้องขออภัยด้วยค่ะ ขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ^_^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ HappyAries สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
รับรีวิวโครงการบ้านใหม่ คอนโดเปิดตัว ของแต่งบ้าน อุปกรณ์ของใช้ในบ้าน หรืออื่น ๆ รับทำการตลาดด้วย Social Network, Content Marketing คลิกเลย